การฟ้อนรำพื้นบ้านอีสาน
การฟ้อนรำ..จังหวัดนครพนม
เครื่องแต่งกาย ใช้เสื้อแขนกระบอกสีดำขลิบแดง ผ้าถุงสีดำ ผ้าคาดเอวสีแดง เครื่องประดับใช้เครื่องเงินตั้งแต่ตุ้มหู สร้อยคอกำไลเงิน ผมเกล้ามวยสูง รัดเกล้าด้วยผ้าแดง
ลายเพลงที่ใช้ประกอบ คือลายศรีโคตรบูรณ์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ลมพัดไผ่” (เหตุที่เรียกว่า ลายลมพัดไผ่ เนื่องจาก ท่วงทำนองโยก โอนเอน คล้ายกับลำไผ่ยามต้องลมซึ่งโอนเอนไปมา และในลูกเล่นปลีกย่อยภายในทำนองเพลง ก็สะบัดพลิ้วไหว ราวกับเรียวใบไผ่สะบัดพลิ้วเล่นลม)
การแต่งกาย
ชาย นุ่งโสร่ง สวมเสื้อม่อฮ่อม คาดเอวด้วยผ้าขาวม้าหรือผ้าขิด
หญิง นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ตีนจกสีครามเข้มหรือครามน้ำเงิน สวมเสื้อแขนกระบอกสีเดียวกับผ้าซิ่น ห่มสไบขิดหรือแพรวาสีแดง มวยผม รัดเกล้าด้วยด้ายขาว
ดูวีดีโอฟ้อนโส้ทั่งบั้ง แสดงโดยชมรมศิลปวัฒนธรรมอีสานจุฬาฯ
ท่าที่ 8 ยูงร่ายไม้ ท่าเตรียม วางหางนกยูงขนานไปข้าวหน้า เท้าขวายืน เท้าซ้ายกระทุ้งหลัง
รอบแรก โบกหางนกยูงขึ้นเหนือศีรษะ ตวัดหางลงข้าง ชักเข้ามากอดแขนซ้ายทับขวาแล้วเหวี่ยงหางนกยูงขึ้น (กระทุ้งเท้าขวา ซ้าย ขวา เหวี่ยงหางจากข้างบนเหวี่ยงลงมาข้างแล้วกระทุ้งเท้าซ้าย)
รอบสองทำเหมือนเดิม
ท่าที่ 9 ยูงกรันคู่ ท่าเตรียม เหมือนท่าแรก
รอบแรก โบกหางนกยูงขึ้นเหนือศีรษะเหวี่ยงหางซ้าย ลงมากอดที่เอวขวา ชักแขนขวาเจ้ามากอด แล้วลากหางนกยูงซ้ายขั้นปาดปลายหางนกยูงขวา แล้วชักแขนซ้ายและขวาออกจากกันให้แขนซ้ายตั้งสูงกว่าแขนขวา
รอบสอง ทำเหมือนเดิม
ท่าที่ 10 ยูงรำแพนซุ้ม ท่าเตรียม วางหางนกยูงขนานไปข้างหน้า
รอบแรก วาดหางนกยูงเอียงมาทับทางซ้าย แขนซ้ายเหยียดตึงบิดตัวไปทางซ้ายแขนขวางอเหยียดตรงหน้า ชักหางหมุนรอบตัวจากซ้ายไปขวา ถัดเท้าขวาไปตามจังหวะ 6 จังหวะ
รอบสอง ทำเหมือนรอบแรก แต่เหยียดหางบิดตัวทางขวาแล้วหมุนรอบตัวจากขวาไปซ้าย ถัดเท้าขวา 6 จังหวะ
ท่าที่ 11 ยูงรำแพนซุ้ม ท่าเตรียม วางหางนกยูงแตะขนานไปข้างหน้าระดับเอว
รอยแรก ยกหางนกยูงกระตุกตั้งขึ้นอยู่ในระดับเดิม ส่ายหางโบกหางนกยูงไปทางซ้ายไขว้เข้ามาไขว้กันแล้วชักหางนกยูงส่ายเข้าออกพร้อมกัน ซอยเท้า ยกไหล่ ตามจังหวะ (จะไปหน้าหรือหลังก็ได้ใช้เมื่อแปรแถว)
ท่าที่ 12 ท่ายูงเหิรฟ้า ท่าเตรียมพับหางนกยูงทั้งสองเหวี่ยงไปทางซ้ายระดับไหล่เท้าชิดกันแล้วซอยเท้าวิ่งจากซ้ายไปขวาหรือสลับจากขวาไปซ้าย
หมายเหตุ ท่าฟ้อนหางนกยูงทุกท่า จะต้องเล่นข้อมือ ยักไหล่ โยกตัวเอียงซ้ายขวา บิดตัวซ้าย ขวา ทำเข่ายุบยืด เหมือนท่าฟ้อนอื่น ๆ จึงจะอ่อนช้อยและสวยงาม
การฟ้อนหางนกยูง เครื่องดนตรีที่ใช้มี แคน พิณ โปงลาง โหวด ฉาบ กลอง ฉิ่ง
การแต่งกาย
แต่งกายแบบพื้นเมืองอีสาน คือ เสื้อ ผ้าเหลืองอ่อนคอกลม หรือ คอจีน แขนกระบอก นุ่งผ้าซิ่นสีเขียวสดเป็นผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมมัดหมี่ หรือผ้าพื้นสีเขียวต่อตีนซิ่น (เวลาสวมเก็บชายเสื้อเข้าในผ้าถุง แล้วใช้ผ้าคาดทับ) ผ้าสไบใช้ผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายลายใดก็ได้ห่มเฉียงบ่า ผมเกล้ามวยทัดดอกไม้ สวมเครื่องประดับเงิน เช่น ต่างหู สร้อย และกำไลแขน
ฟ้อนภูไทเรณูนคร |

การฟ้อนภูไทเรณูนคร เป็นการฟ้อนประเพณีที่มีมาแต่บรรพบุรุษ ที่สร้างบ้านแปลงเมือง การฟ้อนภูไทนี้ถือว่าเป็นศิลปะเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม ประจำเผ่าของภูไทเรณูนคร ถือว่าฟ้อนภูไทเป็นการฟ้อนที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนครพนม
ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จมานมัสการพระธาตุพนมในปี พ.ศ. 2498 นั้น นายสง่า จันทรสาขา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในสมัยนั้น ได้จัดให้มีการฟ้อนผู้ไทถวาย นายคำนึง อินทร์ติยะ ศึกษาธิการอำเภอเรณูนคร ได้อำนวยการปรับปรุงท่าฟ้อนผู้ไทให้สวยงามกว่าเดิม โดยเชิญผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์ในการฟ้อนผู้ไทมาให้คำแนะนำ จนกลายเป็นท่าฟ้อนแบบแผนของชาวเรณูนคร และได้ถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานสืบทอดต่อจนปัจจุบัน
ปัจจุบัน กระทรวงศึกษาธิการได้บรรจุวิชา การฟ้อนภูไทเรณูนคร เข้าไว้ในหลักสูตร ให้นักเรียนทั้งชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ได้ฝึกฝนเล่าเรียนกันโดยเฉพาะนักเรียนที่เล่าเรียนอยู่ในสถานศึกษาภายในเขตอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม จะฟ้อนรำประเพณี “ฟ้อนภูไทเรณูนคร” เป็นทุกคน
ลักษณะการฟ้อนภูไทเรณูนคร ชายหญิงจับคู่เป็นคู่ ๆ แล้วฟ้อนท่าต่าง ๆ ให้เข้ากับจังหวะดนตรี โดยฟ้อนรำเป็นวงกลม แล้วแต่ละคู่จะเข้าไปฟ้อนกลางวงเป็นการโชว์ลีลาท่าฟ้อน
หญิงสาวที่จะฟ้อนภูไทเรณูนครต้อนรับแขก จะได้ต้องเป็นสาวโสด ผู้ที่แต่งงานแล้วจะไม่มีสิทธิ์ฟ้อนภูไทเรณูนคร เวลาฟ้อนทั้งชายหญิงจะต้องไม่สวมถุงเท้าหรือรองเท้า และที่สำคัญคือในขณะฟ้อนภูไทนั้น ฝ่ายชายจะถูกเนื้อต้องตัวฝ่ายหญิงไม่ได้เด็ดขาด (มิฉะนั้นจะผิดผี เพราะชาวภูไทนับถือผีบ้านผีเมือง อาจจะถูกปรับไหมตามจารีตประเพณีได้)
ท่าฟ้อนภูไทเรณูนคร มี 16 ท่า ดังนี้คือ
1. ท่าโยกหรือท่าเตรียม (ท่าเตรียมโยกตัวไปมาเป็นการอุ่นเครื่องเพื่อจะไปท่าบิน)
2. ท่าบิน หรือท่านกกะทาบินเลียบ
3. ท่าเพลิน หรือท่าลำเพลิน
4. ท่าเชิด หรือ ท่ารำเชิด
5. ท่าม้วน หรือท่ารำม้วน
6. ท่าส่าย หรือท่ารำส่ายเปิด
7. ท่าลมพัดพร้าว
8. ท่ารำเดี่ยว หรือฟ้อนเลือกคู่
9. ท่าเสือออกเหล่า
10. ท่ากาเต้นก้อนข้าวเย็น
11. ท่าเสือลากหาง
12. ท่าม้ากระทืบโฮง
13. ท่าจระเข้ฟาดหาง
14. ท่ามวยโบราณ
15. ท่าถวายพระยาแถน หรือท่าหนุมานถวายแหวน
16. ท่ารำเกี้ยว
โอกาสหรือเวลาที่เล่น นิยมแสดงในเทศกาลต่าง ๆ ที่มีในท้องถิ่น เช่น สงกรานต์ ไหลเรือไฟ งานธาตุวันเพ็ญเดือนสาม และต้อนรับแขกผู้ใหญ่ของจังหวัด เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีและมกุฎราชกุมารของต่างประเทศ ฯลฯ
เครื่องดนตรี แบบดั้งเดิม ประกอบด้วย แคน กลองสองหน้า กลองหาง ฆ้องโหม่ง พังฮาด และกั๊บแก๊บ ส่วนในวงโปงลาง ก็ใช้เครื่องดนตรีครบชุดของวงโปงลาง ลายเพลง ใช้ลายลมพัดพร้าว
ปัจจุบัน กระทรวงศึกษาธิการได้บรรจุวิชา การฟ้อนภูไทเรณูนคร เข้าไว้ในหลักสูตร ให้นักเรียนทั้งชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ได้ฝึกฝนเล่าเรียนกันโดยเฉพาะนักเรียนที่เล่าเรียนอยู่ในสถานศึกษาภายในเขตอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม จะฟ้อนรำประเพณี “ฟ้อนภูไทเรณูนคร” เป็นทุกคน
ลักษณะการฟ้อนภูไทเรณูนคร ชายหญิงจับคู่เป็นคู่ ๆ แล้วฟ้อนท่าต่าง ๆ ให้เข้ากับจังหวะดนตรี โดยฟ้อนรำเป็นวงกลม แล้วแต่ละคู่จะเข้าไปฟ้อนกลางวงเป็นการโชว์ลีลาท่าฟ้อน
หญิงสาวที่จะฟ้อนภูไทเรณูนครต้อนรับแขก จะได้ต้องเป็นสาวโสด ผู้ที่แต่งงานแล้วจะไม่มีสิทธิ์ฟ้อนภูไทเรณูนคร เวลาฟ้อนทั้งชายหญิงจะต้องไม่สวมถุงเท้าหรือรองเท้า และที่สำคัญคือในขณะฟ้อนภูไทนั้น ฝ่ายชายจะถูกเนื้อต้องตัวฝ่ายหญิงไม่ได้เด็ดขาด (มิฉะนั้นจะผิดผี เพราะชาวภูไทนับถือผีบ้านผีเมือง อาจจะถูกปรับไหมตามจารีตประเพณีได้)
ท่าฟ้อนภูไทเรณูนคร มี 16 ท่า ดังนี้คือ
1. ท่าโยกหรือท่าเตรียม (ท่าเตรียมโยกตัวไปมาเป็นการอุ่นเครื่องเพื่อจะไปท่าบิน)
2. ท่าบิน หรือท่านกกะทาบินเลียบ
3. ท่าเพลิน หรือท่าลำเพลิน
4. ท่าเชิด หรือ ท่ารำเชิด
5. ท่าม้วน หรือท่ารำม้วน
6. ท่าส่าย หรือท่ารำส่ายเปิด
7. ท่าลมพัดพร้าว
8. ท่ารำเดี่ยว หรือฟ้อนเลือกคู่
9. ท่าเสือออกเหล่า
10. ท่ากาเต้นก้อนข้าวเย็น
11. ท่าเสือลากหาง
12. ท่าม้ากระทืบโฮง
13. ท่าจระเข้ฟาดหาง
14. ท่ามวยโบราณ
15. ท่าถวายพระยาแถน หรือท่าหนุมานถวายแหวน
16. ท่ารำเกี้ยว
โอกาสหรือเวลาที่เล่น นิยมแสดงในเทศกาลต่าง ๆ ที่มีในท้องถิ่น เช่น สงกรานต์ ไหลเรือไฟ งานธาตุวันเพ็ญเดือนสาม และต้อนรับแขกผู้ใหญ่ของจังหวัด เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีและมกุฎราชกุมารของต่างประเทศ ฯลฯ
เครื่องดนตรี แบบดั้งเดิม ประกอบด้วย แคน กลองสองหน้า กลองหาง ฆ้องโหม่ง พังฮาด และกั๊บแก๊บ ส่วนในวงโปงลาง ก็ใช้เครื่องดนตรีครบชุดของวงโปงลาง ลายเพลง ใช้ลายลมพัดพร้าว
การแต่งกาย
ฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงขาก๊วย สวมเสื้อสีน้ำเงิน คอตั้งขลิบแดงกระดุมเงิน มีผ้าขาวม้าไหมมัดเอว สวมสายสร้อยเงิน ข้อเท้าทำด้วยเงิน ประแป้งด้วยแป้งขาว มีดอกไม้ทัดหูอย่างสวยงาม
ฝ่ายหญิงนั้นนุ่งผ้าซิ่นและสวมเสื้อแขนกระบอกสีน้ำเงินขลิบแดง ประดับด้วยกระดุมเงิน พาดสไบสีขาวที่ไหล่ซ้ายติดเข็มกลัดเป็นดอกไม้สีแดง สวมสร้อยคอ กำไลข้อมือ ข้อเท้าหรือทำด้วยทองหรือเงินตามควรแก่ฐานะของตน เกล้าผม มีดอกไม้สีขาวประดับผม
ฝ่ายชายจะนุ่งกางเกงขาก๊วย สวมเสื้อสีน้ำเงิน คอตั้งขลิบแดงกระดุมเงิน มีผ้าขาวม้าไหมมัดเอว สวมสายสร้อยเงิน ข้อเท้าทำด้วยเงิน ประแป้งด้วยแป้งขาว มีดอกไม้ทัดหูอย่างสวยงาม
ฝ่ายหญิงนั้นนุ่งผ้าซิ่นและสวมเสื้อแขนกระบอกสีน้ำเงินขลิบแดง ประดับด้วยกระดุมเงิน พาดสไบสีขาวที่ไหล่ซ้ายติดเข็มกลัดเป็นดอกไม้สีแดง สวมสร้อยคอ กำไลข้อมือ ข้อเท้าหรือทำด้วยทองหรือเงินตามควรแก่ฐานะของตน เกล้าผม มีดอกไม้สีขาวประดับผม
ฟ้อนศรีโคตรบูรณ์ |

ศรีโคตรบูรณ์ เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในอดีต อาณาจักรหนึ่งแห่งภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งศูนย์กลางอาณาจักร อยู่ในเขตนครพนมและสกลนคร
มีเกล็ดประวัติศาสตร์เล่าว่า เมื่อครั้งศรีโคตรบูรณ์รุ่งเรือง บ้านเมืองสงบสุข ศิลปะต่างๆ เจริญเป็นอันดี ศิลปะด้านดนตรี และนาฏศิลป์ ตามหัวเมืองน้อยใหญ่ ก็รุ่งเรือง เป็นที่นิยมมาก อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์ จึงดำริให้มีการเล่นแอ่วแคนประกอบการฟ้อนรำประกวดประชันกัน ระหว่างคณะแอ่วแคนต่างๆ โดยทำนองเพลงและฟ้อนรำ ขอให้ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ทั้งหมด ขอให้เป็นการแสดงใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
คณะแอ่วแคนต่างๆ ก็ส่งการแสดงเข้าประกวดมากมาย สุดท้าย เจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์ ได้ตัดสิน ให้แอ่วแคนชุดนี้ ชนะการประชัน.... และต่อมา เพื่อเป็นการรำลึกถึงอาณาจักรนี้ จึงได้ตั้งชื่อชุดการแสดงนี้ว่า “ฟ้อนศรีโคตรบูรณ์”
ฟ้อนศรีโคตรบูรณ์ ใช้ผู้หญิงล้วน ดั้งเดิม เป็นรำประกอบลายแคน จังหวะโยก โย่น โอนเอน อ่อนไหว จังหวะเพลง และท่ารำก็อ่อนช้อย งดงาม สมเป็นการแสดงระดับสูงซึ่งแสดงต่อหน้าเจ้าเมือง
มีเกล็ดประวัติศาสตร์เล่าว่า เมื่อครั้งศรีโคตรบูรณ์รุ่งเรือง บ้านเมืองสงบสุข ศิลปะต่างๆ เจริญเป็นอันดี ศิลปะด้านดนตรี และนาฏศิลป์ ตามหัวเมืองน้อยใหญ่ ก็รุ่งเรือง เป็นที่นิยมมาก อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์ จึงดำริให้มีการเล่นแอ่วแคนประกอบการฟ้อนรำประกวดประชันกัน ระหว่างคณะแอ่วแคนต่างๆ โดยทำนองเพลงและฟ้อนรำ ขอให้ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ทั้งหมด ขอให้เป็นการแสดงใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
คณะแอ่วแคนต่างๆ ก็ส่งการแสดงเข้าประกวดมากมาย สุดท้าย เจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์ ได้ตัดสิน ให้แอ่วแคนชุดนี้ ชนะการประชัน.... และต่อมา เพื่อเป็นการรำลึกถึงอาณาจักรนี้ จึงได้ตั้งชื่อชุดการแสดงนี้ว่า “ฟ้อนศรีโคตรบูรณ์”
ฟ้อนศรีโคตรบูรณ์ ใช้ผู้หญิงล้วน ดั้งเดิม เป็นรำประกอบลายแคน จังหวะโยก โย่น โอนเอน อ่อนไหว จังหวะเพลง และท่ารำก็อ่อนช้อย งดงาม สมเป็นการแสดงระดับสูงซึ่งแสดงต่อหน้าเจ้าเมือง

เครื่องแต่งกาย ใช้เสื้อแขนกระบอกสีดำขลิบแดง ผ้าถุงสีดำ ผ้าคาดเอวสีแดง เครื่องประดับใช้เครื่องเงินตั้งแต่ตุ้มหู สร้อยคอกำไลเงิน ผมเกล้ามวยสูง รัดเกล้าด้วยผ้าแดง
ลายเพลงที่ใช้ประกอบ คือลายศรีโคตรบูรณ์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ลมพัดไผ่” (เหตุที่เรียกว่า ลายลมพัดไผ่ เนื่องจาก ท่วงทำนองโยก โอนเอน คล้ายกับลำไผ่ยามต้องลมซึ่งโอนเอนไปมา และในลูกเล่นปลีกย่อยภายในทำนองเพลง ก็สะบัดพลิ้วไหว ราวกับเรียวใบไผ่สะบัดพลิ้วเล่นลม)
ฟ้อนโส้ทั่งบั้ง |

ชาวไทโส้ หรือที่ชาวไทโส้เรียกตัวเองว่า “ทรอ” เป็นกลุ่มชาวพื้นเมืองตระกูลเดียวกับพวกบรู, ส่วย และมีตระกูลภาษากลุ่มออสโตเอเชียติก สาขามอญ-เขมร อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวถึงการแต่งกายของชาวไทยโส้ ไว้ในหนังสือเรื่องเที่ยวที่ ต่างๆ ภาค 4 เมื่อเสด็จภาคอีสานเมื่อ พ.ศ. 2449 ไว้ว่า
“...ผู้หญิงไว้ผมสูงแต่งตัวนุ่งซิ่นสวมเสื่อแขนกระบอกย้อมครามห่มผ้าแถบ
“...ผู้หญิงไว้ผมสูงแต่งตัวนุ่งซิ่นสวมเสื่อแขนกระบอกย้อมครามห่มผ้าแถบ
ผู้ชายแต่กายอย่างคนเมือง แต่เดิมนุ่งผ้าเตี่ยวไว้ชายข้างหน้า ชายหนึ่ง....”
ซึ่งยังคงมีการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ในวันสำคัญของหมู่บ้านหรืองานบุญประจำปีของชนเผ่า ด้านพิธีกรรมความเชื่อ มีการนับถือพุทธศาสนาและยังคงความเชื่อผีบรรพบุรุษอย่างเนียวแน่น ก่อให้เกิดพิธีกรรมที่โดดเด่นมาจนถึงปัจจุบัน คือ พิธีโส้ทั่งบั้ง
โส้ทั่งบั้ง เป็นภาษาพื้นถิ่นอีสานที่เรียกชื่อพิธีกรรมของชาวโส้ คำว่า โส้ หมายถึง ชาวไทโส้ ส่วนคำว่า ทั่ง แปลว่า กระทุ้ง หรือกระแทก คำว่าบั้ง หมายถึงปล้องหรือกระบอกไม้ไผ่ ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ว่าด้วยการบูชาผีบรรพบุรุษเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข ตามความเชื่อ สามารถประกอบพิธีได้โดยให้มีผู้ร่วมพิธีอย่างน้อย 8 คน เป็นผู้รำ และมีชาย 2 คน ถือบั้ง (กระบอกไม้ไผ่) ขนาดยาว 3 ปล้อง เดินเวียนซ้ายประกอบในวงรำ โดยฝ่ายชายจะกระทุ้งบั้งลงพื้นตามจังหวะดนตรีที่บรรเลง ฝ่ายหญิง 2 คน จะเป็นผู้ถือจานข้าวสารกับไข่ดิบ พร้อมกับขวดเหล้าเดินนำผู้ประพิธีคนอื่น
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งสมเด็จตรวจราชการมณฑลอุดร เมื่อสมเด็จถึงเมืองกุสุมาลย์ (อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร) เมื่อ พ.ศ. 2449 ได้ทรงบันทึกการแสดงโส้ทั่งบั้งหรือสะลาไว้ว่า
"สะลามีหม้อดินตั้งกลางแล้วมีคนต้นบทคนหนึ่ง คนสะพายหน้าไม้ และลูกสำหรับยิงคนหนึ่ง คนตีฆ้องเรียกว่าพระเนาะคนหนึ่ง คนถือไม้ไผ่สามปล้องสำหรับกระทุงดิน รวมแปดคน เดินร้องรำเป็นวงวนเวียนไปมา พอพักหนึ่งก็ดื่มอุและร้องรำต่อไป..."
รำโส้ทั่งบั้ง เป็นการแสดงที่กล่าวถึงพิธีกรรมความเชื่อของชาวโส้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณสกลนครและนครพนม ในการประกอบพิธีเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย ชาวโส้จะใช้กระบอกไม้ไผ่มากระแทกลงกับพื้น
เพื่อให้เกิดเสียงดังเป็นจังหวะ ต่อมาได้มีการประดิษฐ์คิดท่ารำให้เกิดความสวยงามมากยิ่งขึ้น
ดนตรี ในพิธีกรรมดั้งเดิมใช้แคนอย่างเดียว เมื่อนำมาประกอบการแสดงวงโปงลาง ใช้เครื่องดนตรีแบบวงโปงลาง
ซึ่งยังคงมีการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์ในวันสำคัญของหมู่บ้านหรืองานบุญประจำปีของชนเผ่า ด้านพิธีกรรมความเชื่อ มีการนับถือพุทธศาสนาและยังคงความเชื่อผีบรรพบุรุษอย่างเนียวแน่น ก่อให้เกิดพิธีกรรมที่โดดเด่นมาจนถึงปัจจุบัน คือ พิธีโส้ทั่งบั้ง
โส้ทั่งบั้ง เป็นภาษาพื้นถิ่นอีสานที่เรียกชื่อพิธีกรรมของชาวโส้ คำว่า โส้ หมายถึง ชาวไทโส้ ส่วนคำว่า ทั่ง แปลว่า กระทุ้ง หรือกระแทก คำว่าบั้ง หมายถึงปล้องหรือกระบอกไม้ไผ่ ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ว่าด้วยการบูชาผีบรรพบุรุษเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข ตามความเชื่อ สามารถประกอบพิธีได้โดยให้มีผู้ร่วมพิธีอย่างน้อย 8 คน เป็นผู้รำ และมีชาย 2 คน ถือบั้ง (กระบอกไม้ไผ่) ขนาดยาว 3 ปล้อง เดินเวียนซ้ายประกอบในวงรำ โดยฝ่ายชายจะกระทุ้งบั้งลงพื้นตามจังหวะดนตรีที่บรรเลง ฝ่ายหญิง 2 คน จะเป็นผู้ถือจานข้าวสารกับไข่ดิบ พร้อมกับขวดเหล้าเดินนำผู้ประพิธีคนอื่น
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งสมเด็จตรวจราชการมณฑลอุดร เมื่อสมเด็จถึงเมืองกุสุมาลย์ (อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร) เมื่อ พ.ศ. 2449 ได้ทรงบันทึกการแสดงโส้ทั่งบั้งหรือสะลาไว้ว่า
"สะลามีหม้อดินตั้งกลางแล้วมีคนต้นบทคนหนึ่ง คนสะพายหน้าไม้ และลูกสำหรับยิงคนหนึ่ง คนตีฆ้องเรียกว่าพระเนาะคนหนึ่ง คนถือไม้ไผ่สามปล้องสำหรับกระทุงดิน รวมแปดคน เดินร้องรำเป็นวงวนเวียนไปมา พอพักหนึ่งก็ดื่มอุและร้องรำต่อไป..."
รำโส้ทั่งบั้ง เป็นการแสดงที่กล่าวถึงพิธีกรรมความเชื่อของชาวโส้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณสกลนครและนครพนม ในการประกอบพิธีเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย ชาวโส้จะใช้กระบอกไม้ไผ่มากระแทกลงกับพื้น
เพื่อให้เกิดเสียงดังเป็นจังหวะ ต่อมาได้มีการประดิษฐ์คิดท่ารำให้เกิดความสวยงามมากยิ่งขึ้น
ดนตรี ในพิธีกรรมดั้งเดิมใช้แคนอย่างเดียว เมื่อนำมาประกอบการแสดงวงโปงลาง ใช้เครื่องดนตรีแบบวงโปงลาง
การแต่งกาย
ชาย นุ่งโสร่ง สวมเสื้อม่อฮ่อม คาดเอวด้วยผ้าขาวม้าหรือผ้าขิด
หญิง นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ตีนจกสีครามเข้มหรือครามน้ำเงิน สวมเสื้อแขนกระบอกสีเดียวกับผ้าซิ่น ห่มสไบขิดหรือแพรวาสีแดง มวยผม รัดเกล้าด้วยด้ายขาว
ดูวีดีโอฟ้อนโส้ทั่งบั้ง แสดงโดยชมรมศิลปวัฒนธรรมอีสานจุฬาฯ
ฟ้อนหางนกยูง |

นาฏศิลป์ของจังหวัดนครพนมได้มีการแสดงการฟ้อนรำที่เรียกได้ว่าเป็น นาฏศิลป์พื้นเมืองเอกลักษณ์นครพนมอยู่หลายอย่าง ซึ่งเป็นการแสดงดั้งเดิมสืบทอดกันมาและที่คิดขึ้นใหม่ผสมผสานกลมกลืนกันไป รวมทั้งการได้สืบค้นการแสดงที่หายไปแล้วได้คิดท่าฟ้อนรำขึ้นใหม่ตามแนวทางที่ได้สืบคนก็มี ซึ่งการแสดงชุดหนึ่งที่เป็นการแสดงนาฏศิลป์ของนครพนมที่มีความสวยงาม คือ การฟ้อนหางนกยูง
ประวัติการแสดง
ในปี พ.ศ. 2530 สมัยที่ นายอุทัย นาคปรีชา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (พ.ศ. ) ได้ฟื้นฟูการฟ้อนรำบูชาพระธาตุพนมร่วมกับงานเทศกาลออกพรรษาและไหลเรือไฟ
ฟ้อนหางนกยูงเป็นการแสดงชุดหนึ่งที่ทางจังหวัดกำหนดให้เป็นการฟ้อนรำบูชาพระธาตุพนม ซึ่งนำโดยอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม และได้ปฏิบัติติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
การฟ้อนหางนกยูงนี้ ในอุรังคนิทานมีกล่าวไว้ในบทพระธาตุทำปาฏิหาริย์ หลังจากพระอินทร์ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประดิษฐานในอุโมงค์ ภายในพระเจดีย์เป็นที่อนุโมทนาสาธุแก่เหล่าเทวดา ครั้งนั้นพระอุรังคธาตุเสด็จออกมาทำปาฏิหาริย์ เทวดาทั้งหลายมีความชื่นชมยินดียิ่งนัก ในเวลานี้เองที่เป็นที่มาของตำนานของการ ฟ้อนหางนกยูงและฟ้อนรำบูชาพระธาตุพนมประจำปี ความว่า
...เทวดาทั้งหลายมีความชื่นชมยินดียิ่งนัก จึงส่งเสียงสาธุขึ้นอึงมี่ตลอดทั่วบริเวณ
วิทยาธรคนธรรพ์ทั้งหลายประโคมด้วยดุริยะดนตรี
วัสสวลาหกเทวบุตรพาเอาบริวารนำเอาหางนกยูง เข้าไปฟ้อนถวายบูชาเทวดาทั้งหลาย
ลางหมู่ขับ ลางหมู่ดีด สี ตี เป่า นางเทวดา ทั้งหลายถือหางนกยูง ฟ้อนและขับร้องถวายบูชา...
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าฟ้อนหางนกยูง เป็นศิลปะการฟ้อนรำของจังหวัดนครพนม เป็นลีลาฟ้อนรำอีกแบบหนึ่งที่เป็นการเลียนแบบจากท่านกยูงรำแพนเป็นส่วนมาก การฟ้อนหางนำยูงนี้มีผู้นำมาถ่ายทอดและฟ้อนรำเองตามคำบอกเล่าว่า
"เมื่อประมาณ 100 ปีเศษ โดยมีคุณตาพัน เหมหงษ์ ซึ่งเป็นชาวจังหวัดนครพนมโดยกำเนิด ท่านเป็นบุตรของอุปฮาดคนหนึ่งในสมัยโบราณ เมื่อครั้งที่คุณตาท่านมีชีวิตอยู่ ท่านมีชีวิตโลดโผนเป็นนักสู้รบมาก่อน ท่านสนใจการฟันดาบ เพลงดาบ กระบี่กระบอง และมวย ท่านจึงกลายเป็นครูดาบ กระบี่กระบอง และมวย เป็นผู้มีฝีมือเยี่ยมยุทธ์คนหนึ่ง
และเวลาว่าง ๆท่านก็ชอบออกล่าสัตว์ หมูป่า และนกต่าง ๆ จากนั้นก็สะสมของป่าเอาไว้ เช่น หางนกยูง แล้วนำมามัดเป็นกำ ๆ แล้วคิดประดิษฐ์ท่าฟ้อนรำขึ้น ซึ่งมีลีลาคล้ายกับการฟ้อนดาบแล้วก็นำไปถ่ายทอดให้ลูกหลานต่อไป"
การฟ้อนหางนกยูงนี้ในสมัยก่อนนิยมฟ้อนเดี่ยวบนหัวเรือแข่ง เมื่อมีงานประจำปีงานออกพรรษาความเชื่อว่าก่อนทีจะนำเรือเข้าแข่งจะนำเรือขึ้นไปถวายสักการะเจ้าพ่อหลักเมืองเพื่อเป็นการบอกกล่าวว่าจะนำเรือเข้าแข่งขัน และจะต้องฟ้อนหางนกยูงเพื่อถวายต่อหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองด้วย การฟ้อนหางนกยูงนี้จะฟ้อนเฉพาะเรือแข่งที่สำคัญและมีขื่อเสียงโด่งดังเท่านั้น
ศิลปะการฟ้อนหางนกยูงนี้ มีลีลาอ่อนช้อย สวยงาม ถ้าขาดความอ่อนช้อยแล้วก็ขาดความสวยงามไป การฟ้อนหางนกยูงหาคนฟ้อนสวยได้ยาก ด้วยเหตุนี้การฟ้อนหางนกยูงจึงหยุดชะงัก
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2491 นางเกษมสุข สุวรรณธรรมา ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงเรียนอุเทนวิทยาคาร อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ได้ย้ายไปรับราชการที่โรงเรียนบ้านหนองจันทน์ ตำบลท่าค้อ อำเภอเมืองนครพนม ซึ่งมีนายทวี สุริรมย์ เป็นหลานของคุณตาพัน เหมหงษ์ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดการฟ้อนหางนกยูงนี้ไว้ นางเกษมสุข สุวรรณธรรมา จึงได้โอกาสและขอถ่ายทอดฟ้อนหางนกยูงนี้ไว้ตั้งแต่นั้นมา
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2493 จึงได้นำไปฝึกสอนให้แก่นักเรียนในโรงเรียน เมื่อ พ.ศ. 2495 ซึ่งนางเกษมสุข สุวรรณธรรมา คิดประดิษฐ์ท่าฟ้อนเพิ่มเติมขึ้นอีกหลายท่า
ดนตรีที่ใช้ประกอบท่าฟ้อน ในสมัยก่อนนั้น เป็นการฟ้อนเข้าจังหวะกลองยาว ฉิ่ง ฉาบ ฆ้อง เท่านั้น
ต่อมาเมื่อได้คิดประดิษฐ์ท่ารำเพิ่มเติมขึ้นแล้ว ก็ได้ใช้ระนาด กลอง ฉิ่ง ฉาบ เป็นจังหวะประกอบการฟ้อน
ท่าฟ้อน ฟ้อนหางนกยูงมีท่าฟ้อนต่าง ๆ ดังนี้
ท่าที่ 1 ท่านกยูงร่อนออก
ท่าที่ 2 ท่ายูงรำแพน
ท่าที่ 3 ท่ารำแพนปักหลัก
ท่าที่ 4 ไหวัครู
ท่าที่ 5 ยูงพิสมัย
ท่าที่ 6 ยูงฟ้อนหาง
ท่าที่ 7 ปักหลักลอดซุ้ม
ท่าที่ 8 ยูงร่ายไม้
ท่าที่ 9 ยูงกระสันคู่
ท่าที่ 10 ยูงรำแพนซุ้ม
ท่าที่ 11 ยูงปัดรังควาน
ท่าที่ 12 ยูงเหิรฟ้า
คำอธิบายประกอบท่าฟ้อนรำ
ท่าที่ 1 ท่าออก ทำหางนกยูงทั้งสองข้างตั้งวงซ้ายระดับไหล่ วิ่งซอยเท้าขึ้นข้างหน้าเวที แล้วซอยเท้าถอยลงมาแล้ววิ่งขึ้น หางนกยูงโบกไปมาตามจังหวะ พับหางทั้งสองไปทางซ้ายแล้วก้างเท้าขวาไปข้าง ๆ แล้วหมุนลากไปรอบตัวทางขวาแล้วเปลี่ยนเป็นหมุนจากขวาไปซ้ายสลับกัน (ทำ 2 รอบ)
ท่าที่ 2 ยูงรำแพน ท่าเตรียมยืนเท้าชิด วางหางนกยูงขนานกันยื่นไปข้างหน้ารอบแรกก้าวเท้าซ้ายเท้าขวาไขว้ไปข้างหน้า โบกหางทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะแล้วตวัดหางไปทางด้านหลังแล้งตวัดเข้ามา แขนซ้ายอยู่ระดับหน้าอก รอบสองยกไหล่ทั้งสองพร้อมกับกระตุกข้อถอดแพนแยกหางนกยูงออกซ้ายขวา
ท่าที่ 3 รำแพนปักหลัก ท่าเตรียมยืนอยู่ในลักษณะเดิมเหมือนท่าที่ 2 รอบแรกเหยียดแขนทั้งสองในท่าตั้งวงซ้าย แขนซ้ายหวาย แขนขวาคว่ำอยู่รำดับไหล่ แขนเหยียดตึงแล้วลากหางนกยูงผ่านหน้าจากซ้ายขวายุบยืดตามจังหวะ พับหางทั้งสองไปทางขวา (ลากหางต้องเอี้ยวตัวไป) รอบสองบากหางทั้งสองผ่านหน้าจากขวามาซ้ายตามจังหวะทำเหมือนรอบแรก
ท่าที่ 4 ท่าไหว้ครู ท่าเตรียมเหมือนท่าที่ 3 ถือหางนกเหยียดแขนไปซ้ายเหมือนเดิม ลากหางผ่านหน้าตามจังหวะ เริ่มย่อเข่าทีละน้อยบากหางผ่านหน้าจากซ้ายไปขวาและจากขวาไปซ้าย 4 จังหวะ เข่าซ้ายถึงพื้นแล้ววางขนานไปข้างหน้ากระตุกข้อแตะพื้นพอดี
รอบสอง ในท่านั่งคุกเข่าซ้ายเหยียดขาขวาไปข้างหลัง โบกหางทั้งสองขึ้นตวัดอกเหวี่ยงข้างแล้วชักเข้ามากอด กระตุกข้อยักไหลถอดหางทั้งสองออกเหมือนเดิม (ทำท่านั่ง 3 รอบ)
ท่าที่ 5 ยูงพิสมัย ท่าเตรียมอยู่ในท่าคุกเข่าเหมือนท่าที่ 4 เหยียดแขนตั้งวงซ้ายพับหางไปข้างหลัง ลากจากซ้ายไปขวาเอียงขาทิ้งหางไปขวาแล้วลากหางผ่านหน้า ตัวพร้อมกับยักไหบ่ทิ้งหางซ้าย แล้วลากหางผ่านหน้าพร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าตามจังหวะ
รอบสอง ทำเหมือนเดิม
ท่าที่ 6 ยุงฟ้อนหาง ท่าเตรียม วางหางนกยูงขนานไปข้างหน้า กระตุกข้อแล้วยื่นขึ้นพร้อมกับหางนกยูงขึ้นข้างบนตวัดเหวี่ยงหางนกยูงลงทั้งสองข้าง ชักเข้ามากอดในระดับอก กระตุกข้อยกไหล่ ให้หางนกยูงโบกหางขึ้นบน ท่านี้ทำเหมือนท่าที่ 2 แต่จะต้องโบกหางนกยูงขึ้นแล้วหมุนตัวไปทาวซ้ายกระทุ้งเท้าซ้าย
รอบสอง ก็โบกขึ้นทางขวามือ กระทุ้งขวา ทำดังสลับกันไป
ท่าที่ 7 ปักหลักลอดซุ้ม ท่าเตรียม ก้าวเท้าซ้ายขวาไว้เหมือนท่าที่ 6 โบกหางนกยูงทั้งสองข้างขึ้นบนตวัดหางนกยูงทั้งสองเหวี่ยงลงข้างมากอดระดับอก แขนซ้ายทับแทนขวา ยกไหล่ ถอดหาง วาดหางซ้าย เหวี่ยงไปทางซ้าย หมุนตัวไปทางซ้าย ก้มศีรษะลอดแบนขา ชักหางขวาลากผ่านศีรษะแล้วชักหางซ้ายตามลงข้างขวาทั้งข้างขวา
รอบสอง ทำเหมือนเดิม
ประวัติการแสดง
ในปี พ.ศ. 2530 สมัยที่ นายอุทัย นาคปรีชา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (พ.ศ. ) ได้ฟื้นฟูการฟ้อนรำบูชาพระธาตุพนมร่วมกับงานเทศกาลออกพรรษาและไหลเรือไฟ
ฟ้อนหางนกยูงเป็นการแสดงชุดหนึ่งที่ทางจังหวัดกำหนดให้เป็นการฟ้อนรำบูชาพระธาตุพนม ซึ่งนำโดยอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม และได้ปฏิบัติติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
การฟ้อนหางนกยูงนี้ ในอุรังคนิทานมีกล่าวไว้ในบทพระธาตุทำปาฏิหาริย์ หลังจากพระอินทร์ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประดิษฐานในอุโมงค์ ภายในพระเจดีย์เป็นที่อนุโมทนาสาธุแก่เหล่าเทวดา ครั้งนั้นพระอุรังคธาตุเสด็จออกมาทำปาฏิหาริย์ เทวดาทั้งหลายมีความชื่นชมยินดียิ่งนัก ในเวลานี้เองที่เป็นที่มาของตำนานของการ ฟ้อนหางนกยูงและฟ้อนรำบูชาพระธาตุพนมประจำปี ความว่า
...เทวดาทั้งหลายมีความชื่นชมยินดียิ่งนัก จึงส่งเสียงสาธุขึ้นอึงมี่ตลอดทั่วบริเวณ
วิทยาธรคนธรรพ์ทั้งหลายประโคมด้วยดุริยะดนตรี
วัสสวลาหกเทวบุตรพาเอาบริวารนำเอาหางนกยูง เข้าไปฟ้อนถวายบูชาเทวดาทั้งหลาย
ลางหมู่ขับ ลางหมู่ดีด สี ตี เป่า นางเทวดา ทั้งหลายถือหางนกยูง ฟ้อนและขับร้องถวายบูชา...
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าฟ้อนหางนกยูง เป็นศิลปะการฟ้อนรำของจังหวัดนครพนม เป็นลีลาฟ้อนรำอีกแบบหนึ่งที่เป็นการเลียนแบบจากท่านกยูงรำแพนเป็นส่วนมาก การฟ้อนหางนำยูงนี้มีผู้นำมาถ่ายทอดและฟ้อนรำเองตามคำบอกเล่าว่า
"เมื่อประมาณ 100 ปีเศษ โดยมีคุณตาพัน เหมหงษ์ ซึ่งเป็นชาวจังหวัดนครพนมโดยกำเนิด ท่านเป็นบุตรของอุปฮาดคนหนึ่งในสมัยโบราณ เมื่อครั้งที่คุณตาท่านมีชีวิตอยู่ ท่านมีชีวิตโลดโผนเป็นนักสู้รบมาก่อน ท่านสนใจการฟันดาบ เพลงดาบ กระบี่กระบอง และมวย ท่านจึงกลายเป็นครูดาบ กระบี่กระบอง และมวย เป็นผู้มีฝีมือเยี่ยมยุทธ์คนหนึ่ง
และเวลาว่าง ๆท่านก็ชอบออกล่าสัตว์ หมูป่า และนกต่าง ๆ จากนั้นก็สะสมของป่าเอาไว้ เช่น หางนกยูง แล้วนำมามัดเป็นกำ ๆ แล้วคิดประดิษฐ์ท่าฟ้อนรำขึ้น ซึ่งมีลีลาคล้ายกับการฟ้อนดาบแล้วก็นำไปถ่ายทอดให้ลูกหลานต่อไป"
การฟ้อนหางนกยูงนี้ในสมัยก่อนนิยมฟ้อนเดี่ยวบนหัวเรือแข่ง เมื่อมีงานประจำปีงานออกพรรษาความเชื่อว่าก่อนทีจะนำเรือเข้าแข่งจะนำเรือขึ้นไปถวายสักการะเจ้าพ่อหลักเมืองเพื่อเป็นการบอกกล่าวว่าจะนำเรือเข้าแข่งขัน และจะต้องฟ้อนหางนกยูงเพื่อถวายต่อหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองด้วย การฟ้อนหางนกยูงนี้จะฟ้อนเฉพาะเรือแข่งที่สำคัญและมีขื่อเสียงโด่งดังเท่านั้น
ศิลปะการฟ้อนหางนกยูงนี้ มีลีลาอ่อนช้อย สวยงาม ถ้าขาดความอ่อนช้อยแล้วก็ขาดความสวยงามไป การฟ้อนหางนกยูงหาคนฟ้อนสวยได้ยาก ด้วยเหตุนี้การฟ้อนหางนกยูงจึงหยุดชะงัก
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2491 นางเกษมสุข สุวรรณธรรมา ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงเรียนอุเทนวิทยาคาร อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ได้ย้ายไปรับราชการที่โรงเรียนบ้านหนองจันทน์ ตำบลท่าค้อ อำเภอเมืองนครพนม ซึ่งมีนายทวี สุริรมย์ เป็นหลานของคุณตาพัน เหมหงษ์ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดการฟ้อนหางนกยูงนี้ไว้ นางเกษมสุข สุวรรณธรรมา จึงได้โอกาสและขอถ่ายทอดฟ้อนหางนกยูงนี้ไว้ตั้งแต่นั้นมา
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2493 จึงได้นำไปฝึกสอนให้แก่นักเรียนในโรงเรียน เมื่อ พ.ศ. 2495 ซึ่งนางเกษมสุข สุวรรณธรรมา คิดประดิษฐ์ท่าฟ้อนเพิ่มเติมขึ้นอีกหลายท่า
ดนตรีที่ใช้ประกอบท่าฟ้อน ในสมัยก่อนนั้น เป็นการฟ้อนเข้าจังหวะกลองยาว ฉิ่ง ฉาบ ฆ้อง เท่านั้น
ต่อมาเมื่อได้คิดประดิษฐ์ท่ารำเพิ่มเติมขึ้นแล้ว ก็ได้ใช้ระนาด กลอง ฉิ่ง ฉาบ เป็นจังหวะประกอบการฟ้อน
ท่าฟ้อน ฟ้อนหางนกยูงมีท่าฟ้อนต่าง ๆ ดังนี้
ท่าที่ 1 ท่านกยูงร่อนออก
ท่าที่ 2 ท่ายูงรำแพน
ท่าที่ 3 ท่ารำแพนปักหลัก
ท่าที่ 4 ไหวัครู
ท่าที่ 5 ยูงพิสมัย
ท่าที่ 6 ยูงฟ้อนหาง
ท่าที่ 7 ปักหลักลอดซุ้ม
ท่าที่ 8 ยูงร่ายไม้
ท่าที่ 9 ยูงกระสันคู่
ท่าที่ 10 ยูงรำแพนซุ้ม
ท่าที่ 11 ยูงปัดรังควาน
ท่าที่ 12 ยูงเหิรฟ้า
คำอธิบายประกอบท่าฟ้อนรำ
ท่าที่ 1 ท่าออก ทำหางนกยูงทั้งสองข้างตั้งวงซ้ายระดับไหล่ วิ่งซอยเท้าขึ้นข้างหน้าเวที แล้วซอยเท้าถอยลงมาแล้ววิ่งขึ้น หางนกยูงโบกไปมาตามจังหวะ พับหางทั้งสองไปทางซ้ายแล้วก้างเท้าขวาไปข้าง ๆ แล้วหมุนลากไปรอบตัวทางขวาแล้วเปลี่ยนเป็นหมุนจากขวาไปซ้ายสลับกัน (ทำ 2 รอบ)
ท่าที่ 2 ยูงรำแพน ท่าเตรียมยืนเท้าชิด วางหางนกยูงขนานกันยื่นไปข้างหน้ารอบแรกก้าวเท้าซ้ายเท้าขวาไขว้ไปข้างหน้า โบกหางทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะแล้วตวัดหางไปทางด้านหลังแล้งตวัดเข้ามา แขนซ้ายอยู่ระดับหน้าอก รอบสองยกไหล่ทั้งสองพร้อมกับกระตุกข้อถอดแพนแยกหางนกยูงออกซ้ายขวา
ท่าที่ 3 รำแพนปักหลัก ท่าเตรียมยืนอยู่ในลักษณะเดิมเหมือนท่าที่ 2 รอบแรกเหยียดแขนทั้งสองในท่าตั้งวงซ้าย แขนซ้ายหวาย แขนขวาคว่ำอยู่รำดับไหล่ แขนเหยียดตึงแล้วลากหางนกยูงผ่านหน้าจากซ้ายขวายุบยืดตามจังหวะ พับหางทั้งสองไปทางขวา (ลากหางต้องเอี้ยวตัวไป) รอบสองบากหางทั้งสองผ่านหน้าจากขวามาซ้ายตามจังหวะทำเหมือนรอบแรก
ท่าที่ 4 ท่าไหว้ครู ท่าเตรียมเหมือนท่าที่ 3 ถือหางนกเหยียดแขนไปซ้ายเหมือนเดิม ลากหางผ่านหน้าตามจังหวะ เริ่มย่อเข่าทีละน้อยบากหางผ่านหน้าจากซ้ายไปขวาและจากขวาไปซ้าย 4 จังหวะ เข่าซ้ายถึงพื้นแล้ววางขนานไปข้างหน้ากระตุกข้อแตะพื้นพอดี
รอบสอง ในท่านั่งคุกเข่าซ้ายเหยียดขาขวาไปข้างหลัง โบกหางทั้งสองขึ้นตวัดอกเหวี่ยงข้างแล้วชักเข้ามากอด กระตุกข้อยักไหลถอดหางทั้งสองออกเหมือนเดิม (ทำท่านั่ง 3 รอบ)
ท่าที่ 5 ยูงพิสมัย ท่าเตรียมอยู่ในท่าคุกเข่าเหมือนท่าที่ 4 เหยียดแขนตั้งวงซ้ายพับหางไปข้างหลัง ลากจากซ้ายไปขวาเอียงขาทิ้งหางไปขวาแล้วลากหางผ่านหน้า ตัวพร้อมกับยักไหบ่ทิ้งหางซ้าย แล้วลากหางผ่านหน้าพร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าตามจังหวะ
รอบสอง ทำเหมือนเดิม
ท่าที่ 6 ยุงฟ้อนหาง ท่าเตรียม วางหางนกยูงขนานไปข้างหน้า กระตุกข้อแล้วยื่นขึ้นพร้อมกับหางนกยูงขึ้นข้างบนตวัดเหวี่ยงหางนกยูงลงทั้งสองข้าง ชักเข้ามากอดในระดับอก กระตุกข้อยกไหล่ ให้หางนกยูงโบกหางขึ้นบน ท่านี้ทำเหมือนท่าที่ 2 แต่จะต้องโบกหางนกยูงขึ้นแล้วหมุนตัวไปทาวซ้ายกระทุ้งเท้าซ้าย
รอบสอง ก็โบกขึ้นทางขวามือ กระทุ้งขวา ทำดังสลับกันไป
ท่าที่ 7 ปักหลักลอดซุ้ม ท่าเตรียม ก้าวเท้าซ้ายขวาไว้เหมือนท่าที่ 6 โบกหางนกยูงทั้งสองข้างขึ้นบนตวัดหางนกยูงทั้งสองเหวี่ยงลงข้างมากอดระดับอก แขนซ้ายทับแทนขวา ยกไหล่ ถอดหาง วาดหางซ้าย เหวี่ยงไปทางซ้าย หมุนตัวไปทางซ้าย ก้มศีรษะลอดแบนขา ชักหางขวาลากผ่านศีรษะแล้วชักหางซ้ายตามลงข้างขวาทั้งข้างขวา
รอบสอง ทำเหมือนเดิม

ท่าที่ 8 ยูงร่ายไม้ ท่าเตรียม วางหางนกยูงขนานไปข้าวหน้า เท้าขวายืน เท้าซ้ายกระทุ้งหลัง
รอบแรก โบกหางนกยูงขึ้นเหนือศีรษะ ตวัดหางลงข้าง ชักเข้ามากอดแขนซ้ายทับขวาแล้วเหวี่ยงหางนกยูงขึ้น (กระทุ้งเท้าขวา ซ้าย ขวา เหวี่ยงหางจากข้างบนเหวี่ยงลงมาข้างแล้วกระทุ้งเท้าซ้าย)
รอบสองทำเหมือนเดิม
ท่าที่ 9 ยูงกรันคู่ ท่าเตรียม เหมือนท่าแรก
รอบแรก โบกหางนกยูงขึ้นเหนือศีรษะเหวี่ยงหางซ้าย ลงมากอดที่เอวขวา ชักแขนขวาเจ้ามากอด แล้วลากหางนกยูงซ้ายขั้นปาดปลายหางนกยูงขวา แล้วชักแขนซ้ายและขวาออกจากกันให้แขนซ้ายตั้งสูงกว่าแขนขวา
รอบสอง ทำเหมือนเดิม
ท่าที่ 10 ยูงรำแพนซุ้ม ท่าเตรียม วางหางนกยูงขนานไปข้างหน้า
รอบแรก วาดหางนกยูงเอียงมาทับทางซ้าย แขนซ้ายเหยียดตึงบิดตัวไปทางซ้ายแขนขวางอเหยียดตรงหน้า ชักหางหมุนรอบตัวจากซ้ายไปขวา ถัดเท้าขวาไปตามจังหวะ 6 จังหวะ
รอบสอง ทำเหมือนรอบแรก แต่เหยียดหางบิดตัวทางขวาแล้วหมุนรอบตัวจากขวาไปซ้าย ถัดเท้าขวา 6 จังหวะ
ท่าที่ 11 ยูงรำแพนซุ้ม ท่าเตรียม วางหางนกยูงแตะขนานไปข้างหน้าระดับเอว
รอยแรก ยกหางนกยูงกระตุกตั้งขึ้นอยู่ในระดับเดิม ส่ายหางโบกหางนกยูงไปทางซ้ายไขว้เข้ามาไขว้กันแล้วชักหางนกยูงส่ายเข้าออกพร้อมกัน ซอยเท้า ยกไหล่ ตามจังหวะ (จะไปหน้าหรือหลังก็ได้ใช้เมื่อแปรแถว)
ท่าที่ 12 ท่ายูงเหิรฟ้า ท่าเตรียมพับหางนกยูงทั้งสองเหวี่ยงไปทางซ้ายระดับไหล่เท้าชิดกันแล้วซอยเท้าวิ่งจากซ้ายไปขวาหรือสลับจากขวาไปซ้าย
หมายเหตุ ท่าฟ้อนหางนกยูงทุกท่า จะต้องเล่นข้อมือ ยักไหล่ โยกตัวเอียงซ้ายขวา บิดตัวซ้าย ขวา ทำเข่ายุบยืด เหมือนท่าฟ้อนอื่น ๆ จึงจะอ่อนช้อยและสวยงาม
การฟ้อนหางนกยูง เครื่องดนตรีที่ใช้มี แคน พิณ โปงลาง โหวด ฉาบ กลอง ฉิ่ง

การแต่งกาย
แต่งกายแบบพื้นเมืองอีสาน คือ เสื้อ ผ้าเหลืองอ่อนคอกลม หรือ คอจีน แขนกระบอก นุ่งผ้าซิ่นสีเขียวสดเป็นผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมมัดหมี่ หรือผ้าพื้นสีเขียวต่อตีนซิ่น (เวลาสวมเก็บชายเสื้อเข้าในผ้าถุง แล้วใช้ผ้าคาดทับ) ผ้าสไบใช้ผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายลายใดก็ได้ห่มเฉียงบ่า ผมเกล้ามวยทัดดอกไม้ สวมเครื่องประดับเงิน เช่น ต่างหู สร้อย และกำไลแขน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น